Async, Await, และ Promise: ทำความเข้าใจเพื่อพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันที่ response ได้รวดเร็ว

Async, Await, และ Promise: ทำความเข้าใจเพื่อพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันที่ response ได้รวดเร็ว

ในโลกของการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันในปัจจุบัน การเขียนโค้ดให้สามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันอย่างมีประสิทธิภาพเป็นเรื่องสำคัญมาก ซึ่งเทคนิคหนึ่งที่ช่วยให้เราสามารถจัดการกับการทำงานแบบ asynchronous หรือการทำงานที่ไม่ต่อเนื่องได้ดี คือการใช้ Promise และ Async/Await ใน JavaScript เมื่อหลายปีก่อน การจัดการ asynchronous มักใช้ callback ฟังก์ชันที่ต้องส่งผ่านหลายขั้นตอน แต่นักพัฒนาพบว่าการเขียนโค้ดแบบ callback มีปัญหาทั้งความยุ่งยาก ความซับซ้อน และอาจเกิด callback hell ซึ่งทำให้โค้ดของเราอ่านและดูแลรักษาได้ยาก

การมาถึงของ Promise ใน ECMAScript 6 หรือ ES6 ได้แก้ปัญหาเหล่านี้ไปบางส่วน โดยนำเสนอวิธีการจัดการกับ asynchronous ในรูปแบบที่เรียบง่ายขึ้น ซึ่งช่วยลดปัญหาการซ้อนฟังก์ชันหลายระดับและทำให้โค้ดเข้าใจได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ES8 หรือ ECMAScript 2017 ยังได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ Async/Await ซึ่งเป็นไวยากรณ์ที่ทำให้โค้ด asynchronous ดูเป็นแบบ synchronous มากขึ้น ซึ่งทำให้นักพัฒนาสามารถเขียนโค้ดที่จัดการงานต่าง ๆ แบบ asynchronous ได้อย่างมีประสิทธิภาพและดูเป็นขั้นเป็นตอนมากขึ้น

ในการพัฒนาแอปพลิเคชันที่ต้องติดต่อกับ API หรือดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลภายนอกนั้น Promise และ Async/Await เป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับการจัดการการทำงานแบบ asynchronous ตัวอย่างเช่น หากเราเขียนโค้ดเพื่อดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลหรือจาก API การทำงานเหล่านี้จะไม่สามารถเสร็จสิ้นได้ทันทีเพราะขึ้นอยู่กับความเร็วของการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต การประมวลผล และปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้ไม่สามารถตอบสนองได้ในทันที การใช้ Promise และ Async/Await จึงช่วยให้เราเรียกใช้ข้อมูลโดยไม่ต้องรอผลลัพธ์ที่ใช้เวลานานและช่วยให้ระบบยังคงทำงานอย่างต่อเนื่อง

ในบทความนี้ เราจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Promise และ Async/Await อย่างละเอียด อธิบายการใช้งานของแต่ละตัว ข้อดีข้อเสีย การเปรียบเทียบว่าควรเลือกใช้เมื่อใด และให้ภาพรวมของผลลัพธ์ที่สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาแอปพลิเคชันของคุณได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

1. Promise

Promise คือวัตถุ (object) ใน JavaScript ที่ใช้แทนค่า (value) ในอนาคตซึ่งยังไม่ได้มีการคืนค่า โดย Promise จะมีสถานะหลัก ๆ สามสถานะ:

  • Pending: กำลังรอดำเนินการ
  • Fulfilled: ดำเนินการสำเร็จและส่งคืนค่า
  • Rejected: ล้มเหลวและส่งคืนข้อผิดพลาด

การใช้งาน Promise

let promise = new Promise((resolve, reject) => {
    // ทำการประมวลผลบางอย่าง
    if (success) {
        resolve("สำเร็จ!");
    } else {
        reject("ล้มเหลว!");
    }
});

promise.then(result => {
    console.log(result); // จะแสดง "สำเร็จ!"
}).catch(error => {
    console.log(error); // จะแสดง "ล้มเหลว!"
});

ข้อดีของ Promise

  • อ่านง่ายขึ้นโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการใช้ callback functions ซ้อนกัน
  • แก้ปัญหา callback hell ซึ่งจะทำให้โค้ดเข้าใจง่ายกว่า
  • มีเมธอดเช่น .then(), .catch() และ .finally() สำหรับการจัดการสถานะของ Promise

ข้อเสียของ Promise

  • ยังคงมีโครงสร้างแบบ chaining ซึ่งอาจทำให้โค้ดดูซับซ้อน
  • มีข้อจำกัดในการจัดการลำดับขั้นตอนแบบเรียงลำดับ

2. Async/Await

Async/Await เป็นไวยากรณ์ใหม่ของ JavaScript ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้ง่ายต่อการทำงานแบบ asynchronous โดย Async/Await ทำงานอยู่บนพื้นฐานของ Promise แต่ช่วยให้โค้ดดูเหมือนเป็น synchronous

การใช้งาน Async/Await

async function fetchData() {
    try {
        let result = await someAsyncOperation();
        console.log(result);
    } catch (error) {
        console.error(error);
    }
}
fetchData();

ข้อดีของ Async/Await

  • อ่านง่ายกว่า Promise chaining โดยทำให้โค้ดดูเป็นขั้นตอน (step-by-step)
  • ใช้ try...catch เพื่อจัดการข้อผิดพลาดได้ง่ายขึ้น
  • เหมาะกับการใช้งานที่ต้องการจัดการ asynchronous หลาย ๆ ขั้นตอนอย่างต่อเนื่อง

ข้อเสียของ Async/Await

  • ไม่สามารถใช้ในโครงสร้างที่ไม่รองรับ async เช่น การวนลูปภายในโค้ด
  • ไม่เหมาะกับการทำงานที่ต้องการ async อย่างอิสระหลายงานพร้อมกัน (ควรใช้ Promise.all())

3. การเปรียบเทียบระหว่าง Promise กับ Async/Await

ประเภทPromiseAsync/Await
ความง่ายในการอ่านซับซ้อนเล็กน้อย โดยเฉพาะ chainingอ่านง่ายกว่าเนื่องจากดูเหมือน synchronous
การจัดการข้อผิดพลาดใช้ .catch()ใช้ try...catch
การใช้งานแบบหลายๆ งานพร้อมกันง่ายกว่าโดยใช้ Promise.all()ยากกว่าหากไม่ใช้ Promise.all()
การใช้ในลูปรองรับได้ง่ายต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง ไม่เหมาะกับ forEach

4. ประโยชน์ของแต่ละวิธีและคำแนะนำในการใช้งาน

  • ใช้ Async/Await เมื่อ
    • คุณต้องการเขียนโค้ดที่อ่านง่ายและเป็น step-by-step
    • มีการเรียกใช้งาน asynchronous เพียงครั้งเดียวหรือหลายครั้งที่ต้องการให้รอทีละขั้นตอน
  • ใช้ Promise เมื่อ
    • คุณต้องการทำงานหลายอย่างพร้อมกัน โดยการใช้ Promise.all()
    • คุณต้องการโค้ดที่ยังคงทำงานได้ในเวอร์ชัน JavaScript เก่า ๆ ที่ไม่รองรับ async/await

ผลลัพธ์และประสิทธิภาพ

ทั้งสองวิธีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการ asynchronous ใน JavaScript ให้ทำงานโดยไม่ต้องบล็อคการทำงานอื่น ๆ ของโปรแกรม

Read more

การทำ Data Migration และ Seeder: คู่มือสำหรับ Developer

การทำ Data Migration และ Seeder: คู่มือสำหรับ Developer

ถ้าพูดถึงการพัฒนาแอปพลิเคชันที่เชื่อมต่อกับ Database หนึ่งในความยุ่งยากที่สุดคือการจัดการ Database structure ที่เปลี่ยนไปตามฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามา เช่น เพิ่มตาราง (Table) เปลี่ยนชนิดข้อมูล (Data type) หรือลบฟิลด์ (Field) ออกไป และแน่นอนว่

By maimem
เช็ค Internet จากเว็บ: ทำยังไงให้รู้ว่าออกเน็ตได้จริง?

เช็ค Internet จากเว็บ: ทำยังไงให้รู้ว่าออกเน็ตได้จริง?

เคยเจอไหมครับ เวลาใช้งานเว็บไซต์แล้วอยู่ดี ๆ ก็โหลดข้อมูลไม่ได้ หรือ API เงียบหายไม่มีการตอบกลับ? หลายครั้งเรามักสงสัยว่า "ตกลงปัญหาอยู่ที่ตัวเรา เซิร์ฟเวอร์ หรือ Internet กันแน่?" วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่อง "การตรวจสอบสถานะการเชื่อมต่

By maimem
Rust Series #2 - รู้จัก Cargo: ผู้ช่วยส่วนตัวของโปรเจกต์ Rust!

Rust Series #2 - รู้จัก Cargo: ผู้ช่วยส่วนตัวของโปรเจกต์ Rust!

ถ้าคุณเริ่มต้นเขียน Rust แล้วรู้สึกว่า “เฮ้ย! Rust เจ๋งแหะ” ก็ขอแสดงความยินดีครับ คุณเพิ่งเจอเพื่อนแท้ในโลกโปรแกรมมิ่ง! แต่เดี๋ยวก่อน... ถ้าต้องเขียนโค้ดโปรเจกต์ใหญ่ ๆ บริหารไลบรารี ดูแลไฟล์ต่าง ๆ หรือทดสอบโค้ดทุกวั

By maimem
ซ่อน Credential ใน AWS CodeBuild ให้ปลอดภัยด้วย Parameter Store

ซ่อน Credential ใน AWS CodeBuild ให้ปลอดภัยด้วย Parameter Store

ทำไมต้องซ่อน Credential? ในโลกของ DevOps และ Cloud Computing การจัดการ Credential (ข้อมูลรับรอง เช่น API Keys, Passwords, หรือ Secrets ต่างๆ) เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะ Credential เปรียบเสมือนกุญแจที่เปิดประตูไปสู่ทรัพยากรสำคัญในระบบ เช่น ฐานข้อมูล

By maimem